ผลตอบแทนที่สูงขึ้นส่งผลต่อการพิชิตเป้าหมายการออม

ด้วยระยะเวลาออมที่เท่ากัน (30ปี) และขนาดการลงทุนที่เท่ากัน (เดือนละ 3,000บาท) การลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นช่วยให้พิชิตเป้าหมายเงินออมได้ก้อนใหญ่ขึ้น และเร็วขึ้น

หากพิจารณาจากตาราง Excel ที่แนบมาจะพบว่าเราสามารถจัดการลงทุนได้ 3 แผน

แผนที่1 คาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ย 2% ซึ่งอาจจะเป็นการลงทุนในเงินฝาก กองทุนรวมตลาดเงิน หรือพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเสี่ยงต่ำแต่ก็ได้ผลตอบแทนที่คาดหวังต่ำ และทำให้ได้เป้าหมายเงินออมต่ำ (1.4 ล้านบาท)

แผนที่2 คาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ซึ่งจะต้องมีการผสมสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น เช่น หุ้นกู้ กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ หรือกองทุนผสมหุ้นบางส่วน แม้มีความเสี่ยงมากขึ้น แต่ทำให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น และเป้าหมายเงินออมสูงขึ้น (2.5 ล้านบาท)

แผนที่3 คาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ย 12% ซึ่งมาจากการผสมการลงทุนในหุ้น ทั้งไทยและต่างประเทศ และการลงทุนที่มีนโยบายลงทุนที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น แม้มีความเสี่ยง แต่ด้วยระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนานทำให้สามารถยอมรับความเสี่ยงตรงนี้และคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้ และพิชิตเป้าหมายเงินออมสูงที่สุด (10 ล้านบาท)

ทั้งนี้ปัจจัยระยะเวลาการลงทุนที่ยาวกว่า (เช่น 30 ปี กับ 25 ปี) และปัจจัยขนาดการลงทุน (เช่น 3,000 บาทต่อเดือน หรือมากกว่า หรือน้อยกว่านี้) ก็ย่อมส่งกระทบต่อการพิชิตเป้าหมายเช่นกัน

9 Future Mindset จากหนังสือ FUTURE MINDSET : เมื่อวิธีคิดที่คุณมีใช้กับงานในวันพรุ่งนี้ไม่ได้

9 Future Mindset จากหนังสือ FUTURE MINDSET : เมื่อวิธีคิดที่คุณมีใช้กับงานในวันพรุ่งนี้ไม่ได้

หนังสือโดยศาสตราจารย์ ดร.นภดล ร่มโพธิ์ เจ้าของเพจและ podcast Nopadol’s Story ให้แนวคิดการทำงานในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ด้วยเนื้อหาสั้นๆกระชับ 35 บท 35 Mindset ให้เราได้ปรับเปลี่ยนวิธีคิดสำหรับอนาคต

และนี่คือ Future Mindset ที่ผมได้จากหนังสือขอนำมาแบ่งปันครับ

1.เราสามารถทำงานให้สำเร็จรวดเร็วขึ้นได้ด้วยการ Benchmarking เพียงเราเทียบเคียงกับคนอื่นที่ทำได้ดีที่สุดแล้วก็ทำตาม Best Practice นั้น

ถ้าสังเกตหาเองไม่ได้ ก็หา Partner ที่เราสามารถเอาแนวทางที่ดีของเราไปแลกกับเขา เกิดเป็นทางออกที่ Win-Win ทั้งสองฝ่าย

แม้กระทั่งคู่แข่งก็ช่วยกันได้

2.ในขณะที่เราไม่สามารถทำได้ดีทุกเรื่อง ให้เราโฟกัสทำในสิ่งสำคัญและทำได้ดี

ถ้าเคยได้ยินกฎ Pareto 20/80 – 20% ของลูกค้าสร้างรายได้ให้เรา 80% หรือ ยอดขายกว่า 80% มาจากผลิตภัณฑ์เพียง 20% หรือ ปัญหาสำคัญ 2 อย่างจาก 10 อย่างจะสร้างความเสียหายได้ถึง 80%

ทรัพยากรมีอย่างจำกัด โฟกัสในงานหรือการพัฒนาจุดที่มี Impact กับเราจริงๆมากที่สุด

3.งานที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จมากๆจะประกอบด้วยปัจจัย 5 อย่าง

1)มีประโยชน์กับคนอื่น
2)หาคนทำได้ยาก
3)สามารถควบคุมได้ด้วยตัวของเราเอง
4)ขยาย (Scale) ได้
5)ไม่ยึดกับเวลาของเรา

ลองไปทบทวนดูสิ่งที่เรากำลังทำหรือคิดจะทำนะครับ

4.คนประสบความสำเร็จมีองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งคือ ไม่ค่อยพูดคำว่า “จะ” หรือถ้าพูดแล้วไม่นานคำว่า “จะ” ก็หายไป เพราะว่าได้เริ่มทำไปแล้ว

ถ้าเรามีไอเดียอะไรที่ดี ให้เราเอาไปทำ เริ่มทำแล้วทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ล้มเลิก แม้ยากก็ทำ ย่อมมีโอกาสสำเร็จ

ลดคำว่า “จะ” แล้วลงมือทำเลย

5.สิบวิธีเพิ่ม Productivity ถ้าอยากทำอะไรสำเร็จ

1)ผัดวันประกันพรุ่งสิ่งที่เป็นอุปสรรคของการเกิดผล เช่น อยากจะเช็ค Facebook ก็บอกตัวเอง เดี๋ยวค่อยมาเล่น
2)เลิกใช้มือถือหรือ Internet เอาไปไว้ไกลๆหรือปิดเน็ต
3)จัดลำดับความสำคัญ
4)ไม่ต้องทำงานให้เพอร์เฟกต์ ทำ 90-95% แล้วค่อยมาปรับทีหลัง
5)หาและทำงานในช่วง Flow
6)เลิกประชุมที่ไม่มี Action จะได้ไม่เสียเวลา
7)พัฒนาความสามารถวันละ 1%
8)ตั้งเป้าหมายระยะยาว จะได้มีเข็มทิศ ไม่หลง ไม่ถูก Distract
9)ทำในสิ่งที่รัก ถนัดและเป็นประโยชน์
10)อยู่กับสิ่งที่ตัวเองรักให้นานพอ

ลองทำดู ไม่ Work ก็เลิก ไม่เสียหายครับ

6.ความยุ่ง คือความผิดปกติ

คนเรายุ่งเป็นครั้งคราวได้ ไม่เป็นไร แต่ถ้ายุ่งตลอดเวลานี่ผิดปกติแล้ว

ลองคิดดูเวลาไปเที่ยวพักผ่อนไม่เห็นมีใครบอกว่าไปเที่ยวยุ่ง พักผ่อนยุ่ง มีแต่บอกว่างานยุ่ง

แสดงว่ายุ่งคือการทำในสิ่งที่เราไม่ค่อยชอบ และมีเวลาว่างในการทำสิ่งที่ชอบน้อยลง แก้ได้โดย

ต้องหางานที่ชอบ หรือ ต้องบริหารเวลา

7.สถานการณ์ไหนเราควรเริ่มก่อนและอย่างไหนที่เราไม่ควร

ถ้าเราต้องไปแข่งบางอย่างกับเจ้าเก่า หรือบางอย่างที่มีคู่แข่งน้อย หรือต้องเจอกับคนที่เก่ง เราต้องเริ่มก่อน (ยึดความได้เปรียบ)

แต่ถ้าเราต้องไปแข่งบางอย่างในฐานะเจ้าเก่า หรือบางอย่างที่มีคู่แข่งเยอะ หรือได้เจอกับคู่แข่งที่อ่อนกว่า ให้เราขอไปอยู่หลังๆ ยิ่งถ้าเป็นกรณีที่มีข้อมูลน้อย อยู่หลังๆจะได้เรียนรู้

8.รางวัลจูงใจคนได้ดีกว่าเงิน

รางวัลที่ไม่ใช่เงินให้ความรู้สึกเชื่อมโยงได้ดีกว่า เพราะการให้เป็นเงินให้ความรู้สึกเหมือนซื้อขายกันหรือจ้างให้ทำ การให้รางวัลเป็นเหมือนกันตอบแทนน้ำใจกันมากกว่า

การวิจัยพบว่าเมื่อให้เป็นเงินแล้วพอไม่ได้อีกทำให้แรงจูงใจลดลง

ทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรืออะไร ถ้าทำด้วยความรักมักทำได้ดีเสมอ ดังนั้นถ้าให้ของแล้วได้ความสัมพันธ์ด้วย ก็จูงใจได้ดีกว่า

9.แนวคิดการลงทุนแบบการปลูกต้นไม้ยืนต้น เป็นแนวคิดการลงทุนที่เสมือนปลูกต้นไม้ ประกอบด้วย 4 หลักการ

1)เลิกคิดจะรวยเร็ว – หวังเก็บเกี่ยวดอกผลไปยาวนาน
2)ลงทุนในบริษัทที่ตัวเองชอบหรือเชื่อมั่นในสินค้า/บริการ – จะได้ “อิน” และเชื่อมั่นการลงทุนนั้น
3)ลงทุนในบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโต/มั่นคง – หาข้อมูลและไม่เน้นเสี่ยง
4)ซื้อแล้วไม่คิดจะขาย – เน้นลงทุนยาวๆ หรือจะขายก็ต่อเมื่อพื้นฐานเปลี่ยน/เห็นโอกาสใหม่ๆหรือจำเป็นใช้เงินเท่านั้น และถ้าจะขายก็ขายแบบไม่สนต้นทุนด้วย

(ข้อ 9 นี้มีสรุปให้ฟังแบบ podcast ที่ https://www.facebook.com/762978170751157/posts/1243693689346267/ ครับ)

เป็นวิธีคิดที่น่าไปลองใช้ในสถานการณ์ต่างๆเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่าน

และนอกจาก 9 วิธีคิดที่ผมเอามาแบ่งปันแล้ว หนังสือ FUTURE MINDSET ยังแบ่งปันวิธีคิดที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง ลองไปอ่านกันดูครับ

Review หนังสือ Managing Oneself : ปัญญางาน จัดการตน

Managing Oneself : ปัญญางาน จัดการตน

ผู้เขียน : Peter F. Drucker

ผู้แปล : คุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา

หนังสือโดยปรมาจารย์ด้านการบริหารจัดการ ว่าด้วยการจัดการตนเอง โดยเฉพาะเรื่องของการรู้จักตัวเอง การสร้างสรรค์ผลงาน เนื้อหากระชับ ตรงประเด็นตลอดความหนา 240 หน้า ใช้เวลาอ่านไม่นานนัก และนี่คือสิ่งที่ผมได้รับจากหนังสือเล่มนี้ สรุปออกมาเป็น 3 ส่วนครับ

Part l

เราจำเป็นต้องเรียนรู้จัดการตนเอง และรู้ว่าเราควรจะเปลี่ยนงานของเราอย่างไรและเมื่อใด

คนเราสร้างผลงานจากจุดแข็งเท่านั้น ไม่ใช่จากจุดอ่อน และไม่ใช่จากงานที่เราไร้ความสามารถ

การพัฒนาจาก “ไร้ความสามารถ” ไปยัง “กลางๆ” ใช้พลังงานมากกว่าจาก “เยี่ยม” ไปเป็น “ยอดเยี่ยม”

คำแนะนำคือ
1)ให้เราทุ่มพลังไปที่จุดแข็ง
2)ทุ่มเทพัฒนาจุดแข็ง
3)ลดอุปนิสัยความอหังการทางปัญญา

ตัวอย่างของความอหังการทางปัญญา เช่น คนฉลาดที่วางแผนได้ดีอาจจะต้องพบกับความล้มเหลวเพราะว่าไม่ใส่ใจที่จะเดินตามแผน ดังนั้นต้องลดอุปนิสัยความไม่ใส่ใจลงเพื่อให้ประสิทธิผลของสิ่งที่ทำดีขึ้น

ในขณะเดียวกันก็ใช้พลังงานให้น้อยที่สุดในการพัฒนางานในพื้นที่ที่เราไม่ถนัด

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือสิ่งที่ถนัดหรือไม่ถนัด

เครื่องมือ Feedback Analysis ช่วยเราได้ คือเมื่อต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญหรือทำงานใหญ่ ให้เขียนสิ่งที่คาดหวังไว้ว่าจะเกิดขึ้น (เช่นในอีก 9-12 เดือนข้างหน้า) แล้วจึงเทียบสิ่งที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่คาด จะได้รู้ว่าทำได้ดีหรือตัดสินใจถูกหรือไม่

ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักตนเองด้วยว่าเราเรียนรู้ด้วยวิธีไหน

ฟัง อ่าน เขียน พูด หรือทำ

ทั้งนี้การไม่นำความรู้ไปปฏิบัติคือหนึ่งในปัจจัยของการไร้ผลงาน

Part ll

สิ่งที่ต้องสำรวจตัวเองอีกอย่างหนึ่งคือ เราทำงานอย่างไร?

เราทำงานกับคนได้ดี หรือจะดีกว่าถ้าทำคนเดียว? และถ้าทำงานกับคนได้ดี ดีในความสัมพันธ์แบบไหน

เราสร้างผลงานได้ดีในฐานะคนตัดสินใจ หรือที่ปรึกษา?

ข้อนี้เป็นที่มาว่าทำไมในองค์กรคนที่เป็นเบอร์2จึงทำได้ไม่ดีเมื่อต้องขึ้นเป็นเบอร์1 บางคนทำได้ดีในฐานะที่ปรึกษาแต่ไม่อาจแบกรับความรับปิดชอบได้เมื่อต้องตัดสินใจจริงๆ

เราทำงานได้ดีในสภาวะแรงกดดัน หรือต้องการทำงานในสภาพที่แน่นอนและพยากรณ์ได้?

อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่จงทำงานหนัก เพื่อพัฒนาวิธีการที่จะสร้างสรรค์ผลงาน

เราจะรู้ว่าที่ทางของเราอยู่ที่ไหน อาจขึ้นอยู่กับการพิจารณาปัจจัยต่างๆต่อไปนี้

อะไรคือจุดแข็งของเรา? เราทำงานด้วยวิธีการอย่างไร? เราให้ค่ากับสิ่งใด? จะช่วยให้คำตอบว่าที่ทางของเราอยู่ที่ไหนหรือตอบได้ว่าที่ไหนไม่ใช่ที่ทางของเรา

คำตอบของคำถามเหล่านี้ทำให้เราพูดได้เต็มปากต่อโอกาสที่เข้ามา ต่อข้อเสนอที่ได้รับมอบหมายว่า…

ตกลงจะทำหรือไม่ทำ

ความสำเร็จในการงานนั้นไม่ได้เกิดจากการวางแผน แต่เกิดขึ้นเมื่อคนเตรียมพร้อมเพื่อรับโอกาสใหม่ๆเพราะพวกเขารู้จุดแข็ง รู้วิธีการทำงาน และรู้คุณค่า

Part lll

ส่งท้ายด้วยเรื่องการทำงานกับผู้อื่น

Contribution คือสิ่งที่เราจะมอบให้กับงานงานหนึ่ง ให้พิจารณา 3 อย่าง

1)ณ สถานการณ์ตอนนี้ งานนี้ต้องการสิ่งใด
2)เราต้องทุ่มเทที่สุดวิธีไหนให้งานลุล่วง
3)อะไรคือเป้าหมายที่ต้องบรรลุเพื่อสร้างความแตกต่าง

ในขณะเดียวกันก็ทำความเข้าใจว่าเจ้านายเป็นอย่างไร เพื่อนร่วมงานเป็นอย่างไร มีวิธีการทำงานแบบไหน และดึงจุดแข็งออกมาให้ได้

นอกจากนี้ยังต้องสื่อสารว่าตัวเองทำอะไรอยู่ เก่งอะไร ทำงานด้วยวิธีไหน ให้ค่ากับอะไร

ก็จะช่วยให้งานสำเร็จและสัมฤทธิ์ผลได้

เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ สามารถนำไปใช้ในการทำงานและพัฒนาตนเองครับ

9 แนวทางที่ทำให้การเดย์เทรดเรียบง่ายขึ้น : คู่มือนักลงทุน

9 แนวทางที่ทำให้การเดย์เทรดเรียบง่ายขึ้น

จาก Podcast EP279 มาอ่านแบบบทความกันครับ

ตลาดหุ้นในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีความคึกคักมากขึ้น สามารถเข้ามาซื้อขายทำกำไรได้ดี ในขณะที่หลายคนได้หยุดหรือทำงานที่บ้านก็มีโอกาสได้ดูและอยากจะลองเข้ามาเดย์เทรด (Day Trade) หรือซื้อขายหุ้นระหว่างวันดูบ้าง…

การเดย์เทรดแม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คำแนะนำ 9 ข้อนี้น่าจะช่วยให้การเดย์เทรดของเราเรียบง่ายขึ้นครับ

1)จัดโต๊ะเทรดให้เรียบร้อย

เหมือนกับการทำงานนั่งโต๊ะทั่วไป ในขณะที่เราต้องจดจ่อกับการเทรด และอาจต้องนั่งเป็นระยะเวลานาน การมีสภาพแวดล้อมที่ดีก็ย่อมช่วยให้การซื้อขายของเราได้ผลที่ดีขึ้น

การจัดโต๊ะให้เรียบร้อยยังช่วยป้องกันสิ่งไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นได้เช่นหาของไม่เจอ กาแฟหก ฯลฯ ไม่แน่โอกาสเทรดที่ดีสุดอาจเกิดขึ้นขณะที่เรากำลังเช็ดน้ำที่หกบนคีย์บอร์ด

2)ทำความสะอาดอุปกรณ์

ในที่นี้ไม่ใช่การเช็ดทำความสะอาด แม้ว่าในช่วงโควิด19นี้เราต่างก็ระมัดระวังและทำความสะอาดทั้งคีย์บอร์ด โทรศัพท์ Taplet/iPad ของเรามากขึ้นกว่าปกติก็ตาม

แต่หมายถึงการทำให้เครื่องมือเทรดหุ้นของเราสะอาด ปราศจากสิ่งรบกวน ถ้าใช้คอมพิวเตอร์การมีหน้าจอแยกกันระหว่างจอเทรดที่ใช้ส่งคำสั่งกับจอกราฟก็น่าจะให้ผลดีที่สุด

ถ้าไม่ได้จัดเต็มขนาดนั้นหรือซื้อขายผ่านอุปกรณ์มือถือ อย่างน้อยก็ควรจะไม่ให้มี Notification ต่างๆเข้ามารบกวนการเทรดของเรา

3)ลด Indicator ลงหนึ่งตัว

ในการซื้อขายแบบเดย์เทรด ส่วนมากเรามักจะใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเข้ามาช่วยในการตัดสินใจ ดูกราฟและมี Indicator มากมาย เช่น เส้นค่าเฉลี่ย EMA MACD RSI Stocastic ฯลฯ

การลด Indicator ลงสักหนึ่งตัวจะช่วยให้การเดย์เทรดของเราเรียบง่ายขึ้น โดยจะช่วยให้เรารู้ว่า Indicator นั้น มีผลต่อการตัดสินใจของเราหรือไม่ ถ้ามันหายไปแล้วเรายังตัดสินใจได้ดีก็เท่ากับว่ามันไม่จำเป็น ขณะเดียวกันก็จะได้รู้ว่าตัวไหนมีประโยชน์…สามารถลองลดไปทีละตัวจนเราเจอจุดที่เหมาะสมของเรา

4)เอาข่าว (News Feed) ออกไปในขณะเทรด

หลักการสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิคคือข้อมูลข่าวสารต่างๆสะท้อนลงไปในราคาหุ้นแล้ว และในเมื่อเราใช้การดูกราฟ ดู Indicator ในการตัดสินใจ การฟังข่าวที่เข้ามาอาจไม่จำเป็น และอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของเราได้

5)All in, All out เล่นไม้เดียว

ในการลงทุนระยะยาวนักลงทุนอาจจะเคยได้ยินว่าต้องมีการจัดสรรเงินทุน (Money Management) เช่น แบ่งซื้อหลายๆไม้ แบ่งสัดส่วนซื้อ 20:30:50 เป็นต้น

แต่ในการเดย์เทรดเราลงทุนเพียงระยะสั้นๆ การแบ่งไม้ย่อยๆอาจทำให้การเทรดของเราซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม และไม่แน่ว่าจะให้ผลที่ดีขึ้นจริงหรือเปล่า

ซื้อไม้เดียว All in ไปเลย ถ้าผิดก็ออกมาเริ่มใหม่ทั้งก้อน ทั้งนี้เราอาจจะไม่ต้องซื้อด้วยเงินทั้งหมดหน้าตักของเราตามความหมายทีเดียว แต่หมายถึงซื้อไม้เดียวจบ (เช่นมี 100 แบ่งมาซื้อ 20 แล้วจบไป)

6)ใช้กลยุทธ์เดียว

ในการศึกษากลยุทธ์การซื้อขายหรือ Trade Set Up นักลงทุนอาจมีความรอบรู้หลายกลยุทธ์ หลายวิธีการ เช่น Breakout Buy-on-dip Sculping Swing-trade ฯลฯ

ให้เราเลือกมาเพียงหนึ่งกลยุทธ์ที่เราจะสามารถโฟกัสและดีไม่ดีอาจช่วยให้เราพัฒนาแนวทางที่เชี่ยวชาญได้ด้วย

7)เทรดแค่ Product เดียว

ในตลาดหุ้นนอกเหนือจากหุ้นแล้ว นักลงทุนสามารถเทรด DW (Derivatives Warrant) ส่วนในตลาด TFEX ก็สามารถซื้อขาย SET50 หรือทองคำได้ด้วย ซึ่งแต่ละ Product ก็มีรูปแบบการซื้อขาย การทำกำไร การวางเงิน วางกลยุทธ์ต่างกัน

การเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอาจส่งผลให้การเทรดสะดุดและไม่ให้ผลดีที่สุดได้

8)เทรดแค่ Time Frame เดียว

การเลือก Time Frame ก็คล้ายๆกับการเลือกเทรดแต่ละ Product ที่มีความแตกต่างกันในรายละเอียด จะเป็น 1 นาที 3 นาที 5 15 30 60 นาทีก็โฟกัสไปที่ TF เดียว จะได้ไม่มีความแตกต่างในการตัดสินใจและจะได้ช่วยให้เรารู้ว่ากลยุทธ์ไหนเหมาะสมกับการเทรดของเราด้วย

9)รอให้เป็น เทรดให้น้อยลง

ถ้าเราทำตามคำแนะนำมาตลอดทุกข้อ ทั้งเอา Indicator ออก ลดข่าว เจาะจงกลยุทธ์เดียว Product เดียว TF เดียว น่าจะทำให้การเทรดของเราน้อยครั้งลง

นี่เป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับ อาจจะมันมือน้อยลงแต่ให้นึกภาพเสมือนเราเป็นนายพราน หรือ sniper ที่ต้องรอให้เป้าหมายมาอยู่ในจุดที่พอเหมาะและเรายิงในหวังผลได้

คำแนะนำทั้ง 9 ข้อนักลงทุนอาจจะไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมด เลือกทำในสิ่งที่ถนัด หรือจะลองทำทั้งหมดก่อน ข้อไหนดีก็ทำต่อ ข้อไหนไม่ดีก็ไม่เป็นไร เชื่อว่าจะช่วยให้การเดย์เทรดเรียบง่ายและได้ผลดีมากขึ้นครับ

Simplicity is the ultimate sophistication. – Leonardo Da Vinci

Reference : https://www.tradingsetupsreview.com/9-ways-simplify-day-trading/

หนังสือที่อ่านจบในไตรมาส1/20 ที่ผ่านมา

ปี 2020 นี้ตั้ง Personal OKRs เกี่ยวกับเรื่องการอ่านหนังสือว่าจะอ่านจบทั้งหมด 20 เล่ม ดังนั้นเมื่อย่อยลงมาเป็น OKRs รายไตรมาสก็จะต้องอ่านจบ 5 เล่ม

สุดท้ายอ่านจบครบ 5 เล่มในวันสุดท้ายของไตรมาสพอดี ขออนุญาตเอามาแชร์เผื่อเป็นประโยชน์ครับ

เล่มแรกเคยรีวิวไปแล้วได้แก่ Radical Focus อยากสำเร็จต้องโฟกัสด้วยแนวคิด OKR ผู้เขียน Christina Wodtke แปลโดย ศ.ดร.นภดล ร่มโพธิ์ และ ดร.บรรจงจิต ร่มโพธิ์

หนังสือมี 199 หน้า เนื้อหาเกี่ยวกับการนำ OKR ไปใช้พัฒนาการดำเนินงานของกิจการ

Radical Focus อยากสำเร็จต้องโฟกัสด้วยแนวคิด OKR

เล่มที่สอง The Hard Thing About Hard Things โดย Ben Horowitz แปลโดยคุณวิญญู กิ่งหิรัญวัฒนา หนังสือมี 351 หน้า

Ben Horowitz เล่าถึงเรื่องราวของตัวเองซึ่งเคยเป็น CEO และผู้ก่อตั้งของบริษัท Start up สายเทคโนโลยี มีประสบการณ์ในการฝ่าฟันวิกฤตเศรษฐกิจ และเคยประสบความสำเร็จในการขายกิจการได้ด้วยราคาสูง ปัจจุบันเป็นนักลงทุนร่วมทุน

เนื้อหาในหนังสือยังให้ทักษะกับคนที่จะดำรงตำแหน่ง CEO ที่ต้องดูแลธุรกิจรอบด้าน ยกตัวอย่างเช่น การบริหารในช่วงเวลาที่ยากลำบาก การรับและปลดพนักงาน การสื่อสารในองค์กร การสร้างวัฒนธรรม การแก้ปัญหาต่างๆ จนถึงการขายกิจการ

เล่มนี้ได้ความรู้แล้วก็มันส์ดีด้วย และน่าจะเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน

The Hard Thing About Hard Things

เล่มที่สามมาอ่านหนังสือของ ศ.ดร.นภดล ร่มโพธิ์อีกเล่มหนึ่งคือ The Happiness ความสุขปัจจุบันสุทธิ ความหนา 213 หน้า

เป็นหนังสือที่รวบรวมบทความของอาจารย์นภดลที่เขียนผ่าน Blog Noppadol’s Story และสะสมมาจากแหล่งอื่นๆ นำเสนอเป็นตอนสั้นๆ อ่านง่ายและได้แง่คิดที่ดีในการดำเนินชีวิต สามารถเอาไปปรับใช้แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี

มีตอนที่ชอบหลายตอนขอยกตัวอย่างเช่น เราควรอดทนในสิ่งที่ควรอดทน, “ได้..ถ้า”กับ “ไม่ได้..เพราะ”, มาผัดวันประกันพรุ่งกันเถอะ, วิธีจัดการกับ Midlife Crisis, เวลามันย้อนกลับไปไม่ได้ และความคิดสร้างสรรค์มันมาแล้วก็ไป เป็นต้น

The Happiness ความสุขปัจจุบันสุทธิ

เล่มที่สี่ยังคงหาเรื่องสั้นๆมาอ่าน คือ One Plus One Equals Three หนึ่ง บวก หนึ่ง เท่ากับ สาม หนังสือโดย Dave Trott ผู้แปลคุณพราว อมาตยกุล หนา 270 หน้า

ผู้เขียนเป็นคนทำงานในวงการโฆษณา ส่วนเนื้อหาในหนังสือให้แง่มุมในแง่ความคิดสร้างสรรค์ การคิดต่าง การมีมุมมองใหม่ ผ่านเรื่องเล่าที่มาจากหลายแหล่ง คม แต่ละเรื่องอ่านไปก็น่าติดตาม อ่านจบเรื่องแล้วก็ได้แนวคิดใหม่ๆ

One Plus One Equals Three หนึ่ง บวก หนึ่ง เท่ากับ สาม

เล่มสุดท้ายแม้อ่านจบในไตรมาสแต่จริงๆเป็นหนังสือที่อ่านมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2019 เท่ากับใช้เวลาอ่านถึง 8 เดือน! (แม้ระหว่างทางจะแวะไปอ่านเล่มอื่นบ้าง)

คือหนังสือ Principles โดย Ray Dalio หนา 591 หน้า แปลโดยคุณจอมทรัพย์ สิทธิพิทยา

ที่อ่านนานเพราะว่าอ่านไปจดบันทึกไปเพราะคิดว่าอ่านหนังสือที่มีชื่อเสียงและหนาขนาดนี้น่าจะจดไว้หน่อย ก็เลยใช้เวลาอย่างยาวนาน แต่ก็คุ้มค่าเพราะว่าได้รู้เรื่องราวประสบการณ์ของ Ray Dalio ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุนที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียง ส่วนหลักการในหนังสือก็ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระบบ สามารถเอาไปใช้ได้ทั้งในการดำเนินชีวิต และการทำงาน ละเอียดมากๆ

Principles

จบไปทั้งหมด 5 เล่มเป็นหนังสือที่ดีและมีประโยชน์มากๆ ถ้ามีโอกาสอาจจะเอามาเขียนถึงแต่ละเล่มแบบละเอียดอีกครั้งหนึ่งครับ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่านครับ

ทวีตหุ้น 500

Reflection of the day : เขียนอย่างน้อย 3 สิ่งดีที่เกิดขึ้นหรือทำสำเร็จในแต่ละวันผ่าน Blog

+++++++++++++++++++++

…ไม่ได้เขียนมาหลายวัน เหนื่อยกับตลาดหุ้น…

+++++++ 4/3/20 +++++++

Blockdit 800

Reflection of the day : เขียนอย่างน้อย 3 สิ่งดีที่เกิดขึ้นหรือทำสำเร็จในแต่ละวันผ่าน Blog

+++++++++++++++++++++

  • ช่วงนี้ตลาดหุ้นผันผวน ลงหนักมาก ค่อนข้างเครียด ไม่ได้มาอัพเดท blog ตามเคย
  • Podcast EP 239-240
  • https://soundcloud.com/charoenjit-c/prosperous-ep239
  • https://soundcloud.com/charoenjit-c/prosperous-ep240
  • หลังจากได้รับการแชร์โดยเพจลงทุนแมน ตอนนี้เพจ Charoenjit ใน Blockdit เลยมีคนมาติดตามทะลุ 800 คนแล้ว!

+++++++ 26-27/2/20 +++++++

Shared by ลงทุนแมน

Reflection of the day : เขียนอย่างน้อย 3 สิ่งดีที่เกิดขึ้นหรือทำสำเร็จในแต่ละวันผ่าน Blog

+++++++++++++++++++++

  • ไม่ได้บันทึก Blog มาหลายวันเนื่องจากสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาที่โบสถ์มีค่ายสัมผัสพระเจ้าที่มีส่วนในการเตรียมและจัดการค่าย ยุ่งตลอดทั้งสามวัน มีสิ่งที่เกิดขึ้นมากมาย ทั้งสิ้นก็นำมาซึ่งการขอบคุณพระเจ้า
  • Podcast EP 237 https://soundcloud.com/charoenjit-c/prosperous-ep237-day-trade
  • Podcast EP 238 https://soundcloud.com/charoenjit-c/prosperous-ep238-19
  • EP238 พูดถึงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 นอประเทศจีนซึ่งส่งให้ตลาดหุ้นทั่วโลกลงแรง
  • EP นี้ได้รับการแชร์โดยเพจ ลงทุนแมน ทั้งใน platform Blockdit และ Facebook ทำให้มีผู้สนใจเข้ามารับฟังเป็นจำนวนมากและมีผู้ติดตามใน Blockdit ขยับจากแถว 500 มาทะลุ 700 รายแล้ว
  • ขอขอบคุณเพจ ลงทุนแมน มา ณ ที่นี้ครับ

+++++++ 25/2/20 +++++++

One Year of Podcasting

Reflection of the day : เขียนอย่างน้อย 3 สิ่งดีที่เกิดขึ้นหรือทำสำเร็จในแต่ละวันผ่าน Blog

+++++++++++++++++++++

  • เป็นอีกวันที่ผ่านความยุ่งยากในภารกิจต่างๆไปได้
  • Podcast EP235 https://soundcloud.com/charoenjit-c/prosperous-ep235-bam
  • วันนี้เป็นวันที่ครบรอบทำ Podcast มาครบ 1 ปีพอดี
  • ได้ไปใช้เวลากับพี่น้องที่โบสถ์ตอนเย็น นำมาซึ่งความชื่นชมยินดี

+++++++ 20/2/20 +++++++

ทวิตหุ้น 400

Reflection of the day : เขียนอย่างน้อย 3 สิ่งดีที่เกิดขึ้นหรือทำสำเร็จในแต่ละวันผ่าน Blog

+++++++++++++++++++++

  • Podcast EP234 https://soundcloud.com/charoenjit-c/prosperous-ep234-gdp-4q62-62-63
  • เริ่มแชร์ content เพิ่มเติมใน “ทวิตหุ้น” นอกเหนือจากการรายงานความเคลื่อนไหวและข่าวสารหุ้นทำให้วันนี้มีทวีตหนึ่งได้รับความสนใจพอสมควร
  • มีคนรีทวีตถึง 51 คนและมีการมองเห็นไปถึงสามพันคน
  • และส่งผลให้มีคนติดตามทะลุ 400 คนแล้ว 🎊🎊

+++++++ 19/2/20 +++++++